Cohen and Uphoff
(1977 : 7-26) ได้เสนอแนวความคิดเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งเสริมในการมีส่วนร่วมและปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการมีส่วนร่วมของชุมชนโดยพิจารณาเป็น
2 ประเด็น คือ
2.1 พิจารณากิจกรรมการมีส่วนร่วม
ว่าทำอะไรบ้าง ใครเป็นผู้นำ และทำด้วยวิธีการอย่างไร ซึ่ง Cohen and Uphoff
กล่าวว่า
การมีส่วนร่วมดังกล่าวตั้งอยู่บนพื้นฐาน
3 มิติดังนี้
มิติที่ 1 มีส่วนร่วมในเรื่องอะไร
จัดว่าเป็นประเภทหรือลักษณะของการมีส่วนร่วม แยกการมีส่วนร่วมออกเป็น 4 ประเภท คือ การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ การมีส่วนร่วมในการปฏิบัติ การมีส่วนร่วมในผลประโยชน์ และการมีส่วนร่วมในการประเมินผล
มิติที่ 2
ใครที่เข้ามีส่วนร่วม
กล่าวถึง การมีส่วนร่วมของประชาชน
ได้จำแนกกลุ่มบุคคลที่เข้ามามีส่วนร่วม เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่
ผู้ที่อยู่อาศัยในท้องถิ่น
ผู้นำท้องถิ่น
เจ้าหน้าที่ของรัฐ และคนต่างชาติ
กลุ่มคนทั้ง 4 กลุ่มดังกล่าว
มีคุณลักษณะส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมที่แตกต่างกัน โดยพิจารณาจากเพศ อายุ
สถานภาพของครอบครัว การศึกษา การแบ่งกลุ่มในสังคมได้แก่ กลุ่มชนชาติเผ่า เชื้อชาติ ศาสนาที่นับถือ
ชั้นวรรณะ ภาษาที่ใช้ แหล่งกำเนิด
และอื่นๆ อาชีพ รายได้
ระยะเวลาที่อยู่อาศัยในชุมชน ระยะทางของที่พักกับที่ตั้งของโครงการความร่วมมือ สถานภาพของการถือครองที่ดิน สถานภาพของการได้รับการจ้างงาน
(ทำงานเต็มเวลาหรือไม่เต็มเวลา) เป็นต้น
มิติที่ 3
การมีส่วนร่วมนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรโดยมีประเด็นที่ควรพิจารณา
4 ประเด็น คือ
1) พื้นฐานของการมีส่วนร่วม
พิจารณาเกี่ยวกับแรงที่กระทำให้เกิดการมีส่วนร่วม มาจากเบื้องบนหรือเบื้องล่าง แรงที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมมาจากที่ใด
2) รูปแบบของการมีส่วนร่วม พิจารณาเกี่ยวกับรูปแบบขององค์กร การมีส่วนร่วมโดยตรงหรือโดยอ้อม
3) ขอบเขตของการมีส่วนร่วม พิจารณาเกี่ยวกับระยะเวลาที่เข้ามามีส่วนร่วม
ช่วงของกิจกรรม
4) ประสิทธิผลของการมีส่วนร่วมพิจารณาเกี่ยวกับการให้อำนาจแก่การมีส่วนร่วมและปฏิสัมพันธ์ของคุณลักษณะต่าง
ๆ ของสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วม
2.2 พิจารณาถึงบริบทของการมีส่วนร่วม ได้แก่
คุณลักษณะของโครงการที่กระทบต่อการมีส่วนร่วมกับสภาพแวดล้อมที่กระทบต่อการมีส่วนร่วม จำแนกออกเป็น
2 ส่วน คือ
2.2.1 คุณลักษณะของโครงการที่มีผลกระทบต่อการมีส่วนร่วม
2.2.2
ผลกระทบของสิ่งนำเข้าสู่โครงการ ได้แก่
1) ความซับซ้อนของเทคโนโลยีที่ใช้ในโครงการ เช่น
โครงการที่ใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อนมากจะเป็นข้อจำกัดในการเข้ามามีส่วนร่วมของบางคน
2) ทรัพยากรที่ซับซ้อนของโครงการ เช่น
โครงการการเงินกู้ที่ให้โอกาสเฉพาะผู้ที่มีที่ดินมาค้ำประกันเงินกู้
2.2.3 ผลกระทบของประโยชน์จากโครงการ
ได้แก่
1) ผลประโยชน์ที่สัมผัสได้หรือมีตัวตนที่ให้สัมผัสได้
เช่น โครงการชลประทานที่สามารถแจกจ่ายน้ำให้กับเกษตรกรได้ใช้ประโยชน์อย่างรวดเร็ว
จะดูเหมือนว่าเป็นสิ่งที่ประเมินได้ง่ายกว่าโครงการที่ออกแบบอย่างดี
จนมั่นใจได้ว่าจะสามารถแจกจ่ายน้ำได้แม้ในปีที่แห้งแล้ง
2) ความเป็นไปได้ของผลประโยชน์ที่จะได้รับ
โครงการที่แนะนำให้ปลูกพืชชนิดใหม่แต่มีความเสี่ยงสูง(ผลประโยชน์สูง)ย่อมจะประเมินผลได้ยากกว่าโครงการที่แนะนำให้ปลูกพืชชนิดที่มีความเสี่ยงต่ำ (ผลประโยชน์ไม่สูง)
3)
ผลประโยชน์ที่ได้รับทันเช่นโครงการอาหารที่ใช้วิธีการแจกอาหารเพิ่มย่อม จะประเมินได้ง่ายกว่าการแนะนำพืชชนิดใหม่ที่ให้คุณค่าทางอาหารมากกว่า
(แต่ปริมาณเท่าเดิม)
4) การกระจายผลประโยชน์ (Distribution) เช่น
การให้บริการคลินิกเคลื่อนที่ซึ่งประชาชนสามารถใช้บริการได้ง่ายกว่าการให้บริการที่เป็นสากลแต่ยากที่จะเข้าใช้บริการได้
2.2.4 ผลกระทบของการออกแบบ ได้แก่
1) การเชื่องโยงโครงการเช่นโครงการพัฒนาชนบทแบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งมี
หลายโครงการผสมผสานกันย่อมประเมินได้ยากกว่าโครงการที่มีกิจกรรมและวัตถุประสงค์เดียว
2) ความยึดหยุ่นของโครงการ เช่น โครงการก่อสร้างถนนจากฟาร์มไปสู่ตลาดที่ได้มีการเตรียมวางแผนไว้อย่างละเอียดและค่อนข้างแน่นอน
ย่อมประเมินได้ง่ายกว่าโครงการยึดหยุ่นและต้องคำนึงถึงความต้องการของท้องถิ่นได้แก่ความต้องการเกี่ยวกับประเภทของถนน สถานที่ที่จะสร้าง รวมถึงวิธีการดำเนินงาน เพื่อให้ท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการที่แสดงถึงการมีส่วนร่วมนั่นเอง
3) ความสามารถของการเข้าถึงในแง่ของการบริหาร
เช่น การมีส่วนร่วมในโครงการปรับปรุงการศึกษาของท้องถิ่น ซึ่งมีผู้รับผิดชอบในการตัดสินใจหลายฝ่ายทั้งภาครัฐบาลกลางและฝ่ายท้องถิ่น
การประเมินในเรื่องนี้ย่อมจะยากกว่าโครงการที่มีฝ่ายบริหารเข้ามาแทรกแซงน้อยกว่า กล่าวคือ
ปริมาณการมีส่วนร่วมจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับโครงสร้างของการบริหารโครงการ
4) ความครอบคลุมในแง่บริหาร เช่น
กรณีที่มีคณะทำงานอยู่ไม่เพียงพอ
ทำให้การบริการและการติดต่อกับผู้เข้ามามีส่วนร่วมทำได้อย่างจำกัด
หรือมีการติดต่ออย่างผิวเผิน
การดำเนินงานเช่นนี้ย่อมเป็นข้อขัดขวางต่อการเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชน
การดำเนินงานเช่นนี้ย่อมเป็นข้อขัดขวางต่อการเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชน
2.3 ผลกระทบของสิ่งแวดล้อมต่อกิจกรรมการมีส่วนร่วม ได้แก่
ปัจจัยด้านกายภาพและชีวภาพ
ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ปัจจัยด้านการเมือง ปัจจัยด้านสังคม ปัจจัยด้านวัฒนธรรมและปัจจัยด้านประวัติความเป็นมา
นอกจากนี้
ปัจจัยที่เสริมสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในงานพัฒนา ยังแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่ม ดังต่อไปนี้
(ปาริชาติ
วลัยเสถียร และคณะ. 2543 : 20)
1) ปัจจัยด้านกลไกของรัฐ โดยรัฐต้องคำนึงการดังต่อไปนี้ คือ การกำหนดนโยบาย
ต้องคำนึงถึงความแตกต่างของวัฒนธรรมท้องถิ่น
สนับสนุนกิจกรรมที่มีความสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการเมือง การสร้างช่องทางในการเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชนโดยระบบต่างๆ
ของราชการต้องเอื้ออำนวยและเพิ่มโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม มีการติดตามประเมินผลและการสนับสนุนในภายหลัง
2) ปัจจัยด้านประชาชน โดยประชาชนในชุมชน ต้องมีความรู้
ความเข้าใจและ
มีประสบการณ์ในการทำงานพัฒนา เป็นฝ่ายตัดสินใจ ริเริ่มกิจกรรมและรับผลประโยชน์ เป็นสมาชิกกลุ่มทางสังคมหรือเป็นผู้นำท้องถิ่น มีการติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานอื่นและได้รับการฝึกอบรม การศึกษาดูงานและรับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่อง
มีประสบการณ์ในการทำงานพัฒนา เป็นฝ่ายตัดสินใจ ริเริ่มกิจกรรมและรับผลประโยชน์ เป็นสมาชิกกลุ่มทางสังคมหรือเป็นผู้นำท้องถิ่น มีการติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานอื่นและได้รับการฝึกอบรม การศึกษาดูงานและรับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่อง
3) ปัจจัยด้านนักพัฒนา โดยนักพัฒนาต้องทำหน้าที่ดังต่อไปนี้ คือ ศึกษาชุมชนเพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานและได้เรียนรู้สภาพแวดล้อมในทุกๆ
ด้านในชุมชน
มีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาของกระบวนการมีส่วนร่วม ค้นหาผู้นำที่มีศักยภาพ ซึ่งเป็นผู้ที่กระตุ้นให้ชาวบ้านแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในงานพัฒนา รวมกลุ่มกับชาวบ้านเพื่อหาหนทางแก้ปัญหา เป็นผู้สนับสนุนด้านศึกษา การให้ข้อมูลข่าวสาร วิทยาการใหม่ๆ
และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
มีความจริงใจและมีความผูกพันกับท้องถิ่น
เพื่อให้ประชาชนเชื่อถือและศรัทธาและดำเนินงานพัฒนาที่มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพท้องถิ่น
4) ปัจจัยจูงใจ ได้แก่ การได้รับผลประโยชน์จากการได้เข้าไปมีส่วนร่วมใน
กิจกรรมการพัฒนาและโครงการพัฒนาตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน
กิจกรรมการพัฒนาและโครงการพัฒนาตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน
2.4 เงื่อนไขสำคัญของการมีส่วนร่วมของประชาชน ประกอบด้วย
(เทศบาลนครลำปาง
เทศบาลตำบลบ้านพรุ
เทศบาลนครนนทบุรี
สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย
สมาคมสันนิบาต
เทศบาลแห่งประเทศไทย ได้แก่ ความตระหนักถึงปัญหาหรือการได้รับผลกระทบร่วมกัน การมีผลประโยชน์ร่วมกันและการมีความสนใจร่วมกัน
เทศบาลแห่งประเทศไทย ได้แก่ ความตระหนักถึงปัญหาหรือการได้รับผลกระทบร่วมกัน การมีผลประโยชน์ร่วมกันและการมีความสนใจร่วมกัน
เงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนนั้น ยังแบ่งออกได้ ดังนี้ (อภิศักดิ์ ไฝทาคำ. 2539 : 79-80 ; อ้างถึงใน จุฑารัตน์
บุญานุวัตร์. 2546 : 24)
1)
ประชาชนต้องมีเวลา
และต้องไม่เสียค่าใช้จ่ายในการมีส่วนร่วมมากเกินกว่าที่ประเมินค่าผลตอบแทนที่จะได้รับ
2) ประชาชนต้องมีความสนใจที่จะสัมพันธ์กันกับการมีส่วนร่วมนั้น
และสามารถสื่อสารได้เข้าใจตรงกันทั้งสองฝ่าย
3) ประชาชนต้องไม่รู้สึกกระทบกระเทือนต่อตำแหน่งหน้าที่
หรือสถานภาพ
ทางสังคม
ส่วนเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคต่อการมีส่วนร่วมของประชาชน อันเกิดจากภาครัฐ ได้แก่
สัยทัศน์ด้านการพัฒนา นโยบายแนวทางปฏิบัติ รูปแบบโครงสร้างการบริหารจัดการ ศักยภาพของบุคลากร กฎระเบียบและงบประมาณ
สัยทัศน์ด้านการพัฒนา นโยบายแนวทางปฏิบัติ รูปแบบโครงสร้างการบริหารจัดการ ศักยภาพของบุคลากร กฎระเบียบและงบประมาณ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น